วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่5 สู่อิสตันบูล กับความรักความฝัน และใครคนนึง


ถึงฝั่งยุโรปแล้วว 5555 สาวไทย มายืนเด๋อๆ ด๋า เพราะยังไม่มีแผนจะไปทางไหน
 แต่ก้อลากกระเป๋ากันไปกันมา ถามราคาแท้กซี่ก้อแพงเว่อร์ 
ไม่เอาดีกว่า 
จุดหมายเราจะไปยังที่พัก ในโซนเมืองเก่า ย่านสุลต่านอาเหม็ด สรุปคือ 
จากท่าเรือ ให้เราเดินข้ามไปขึ้นแทรม แทรม ก้อคือรถรางรอบเมือง ในราคาเที่ยวละ 3 ลีร่า 
ใช้เงินหยอดเพื่อแลกเหรียญ แล้วไปรถขึ้นรถแทรม
 สถานีที่เราจะไปคือ สุลต่านอาเหม็ด 






ลงสถานีที่สุลต่านอาเหม็ดแล้ว ก้อมาตามหาโรงแรมกันต่อ อยู่ในหลืบโน้นนน
 กว่าจะเจอ คือที่นี่ซอกซอยมันค่อนข้างเยอะ ............. แต่ในที่สุดเราก้อพบมัน โรงแรมเรา
 อยู่ในซอยเบิร์เกอร์คิง เดินไปเลี้ยวไป เด๋วก้อเจอ 5555
การเดินทางอันยาวนานและแสนเหน็ดเหนื่อยของเรา แต่มันก้อแฝงไปด้วยความสุข 
ความฝันที่จะมาที่นี่ มันก่อตัวมาตั้งแต่ 4 ปี ที่แล้ว จนวันนี้ เราได้มาเหยียบที่นี่.............. 
เราไม่รู้ว่าการอดทนและการรอคอยมันคุ้มค่าไหม ......... 
แต่ที่นี่ เราได้พบใครคนนึงที่นี่ ผู้ที่ทำให้ความฝันของเราสมบรูณ์ 
หัวใจดวงน้อยๆ ของเรา มาไกลจากโมร๊อคโค .............. 
สายลมแห่งโชคชะตา พัดเราและเขามาจากที่แสนไกล 
มาบรรจบที่อิสตันบูล แผ่นดินแสนรักของเรา




เราเดินเที่ยวเล่นชม ย่านสุลต่านอาเหม็ด ตอนกลางคืน วันนี้มีความสุขที่ซู้ดดดดดดดดดด




เดินกันจนปวดขา อิอิอิ แต่ก้อสนุกอ่ะ อยากไปอีกจัง




รถรางที่นี่ มี 2 สาย สีน้ำเงิน สีแดง ไปได้จนถึงฝั่งเอเชีย สะดวกดีนะ อิสตันบูล 
คนคึกคักพอสมควร อากาศเย็นสบาย มีฝนบ้างประปรายย
แต่ก้อได้ใจเราไปจริงๆ อิอิอิ





เดินที่อิสตันบูลกันตอนค่ำๆ เสร็จ เราก้อไปหาไรกินดีกว่า ง่ายๆๆ พวก เคบับ แฮมเบอร์เกอร์ 
แถวย่านสุลต่านอาเหม็ด ก้อมีร้าน ชิวๆ เยอะอยู่เหมือนกันราคาไม่สูงมาก 
เราได้แฮมเบอร์เกอร์เนื้อ มา 1 อัน 




กลับห้องมานอนพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้มีแรงเทียว อิอิอิ




ตื่นกันมาตอนเช้าๆ ก้ออกไปเดินเล่นข้างนอก เช้าๆ วันนี้อากาศเย็นเหมือนเดิม 




เดินเล่นดูนั่นดูนี่ หาอาหารเช้ากินดีกว่า เจอร้านนึง ดูน่าสนใจ มีเคบับ ราคา ตั้งแต่ 2 ลีร่าขึ้นไป 




หาไรกินเสร็จ ก้อกลับไปโรงแรมก่อน อาบน้ำแล้วจะไปที่บลูมัสยิด ในตอนกลางวัน 
วันนี้อากาศครึ้มๆ แต่ก้อเย็นสบาย





อาบน้ำแล้วเราก้อออก ชิวกันดีกว่า ไปบลูมัสยิด สุเหร่าสีน้ำเงิน สุเหร่าสีฟ้า : (Blue Mosque) 
หรือ มัสยิดสุลต่านอาห์เมต (Sultan Ahmet Mosque)
• มัสยิดสุลต่านอาห์เม็ดหรือสุเหร่าสีน้ำเงิน เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอิสตันบูล สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1609 – 1616 มีแรงบันดาลใจการสร้างมาจากการต้องการเอาชนะหรือสร้างมัสยิดที่มีขนาดใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียของคริสต์ เพราะแต่เดิมนั้น วิหารเซนต์โซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ทำให้สุลต่านแห่งออตโตมันหลายพระองค์ต้องการกสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ให้เทียบเท่าหรือใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียมาแทบทุกยุคทุกสมัย 
แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ
• จนมาถึงในสมัยสุลต่านอาห์เมตที่ 1 เมห์เมต อาอา (Mehmet ) สถาปนิกผู้สร้างสรรค์มัสยิดแห่งนี้ ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าเขามีความสามารถเหนืออาจารย์และสถาปนิกที่ออกแบบวิหารเซนต์โซเฟีย 
จึงบรรจงออกแบบจนอลังการ
เหตุที่ผู้คนเรียกมัสยิดสุลต่านอาห์เมตที่ 1 (Sultan Ahmet I) ว่า บลูมอสก์ จนกลายเป็นชื่อจริงไปแล้วนั้น เนื่องมาจากสีของกระเบื้องอิซนิคบนกำแพงชั้นในที่มีสีฟ้าสดใส 
ลายดอกไม้ต่างๆ เช่น กุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น ฯลฯ 






• เอกลัษณ์ของสุเหร่าสีน้ำเงิน โดดเด่นด้วยหอมินาเร็ต (หอสวดมนต์) 6 หอ 
ซึ่งปกติหอสวดมนต์ประจำมัสยิดทั่วไปจะมีหนึ่งถึงสองหอและลานด้านหน้าที่ใหญ่ที่สุด
ในบรรดามัสยิดของออตโตมัน ส่วนการตกแต่งภายในก็ดูยิ่งใหญ่ด้วยหน้าต่างทั้งหมด 260 บาน 
สลับสล้างด้วยหน้าต่างกระจกสีอันวิจิตรและพื้นที่สำหรับละหมาดขนาดกว้าง
ภายในบริเวณมัสยิดมีโรงเรียนสอนศาสนา โรงพยาบาล ที่พักแรกของขบวนคาราวาน
และโรงครัวต้มน้ำซุป (เรียกว่าคุลลีเย) 
• เมื่อเริ่มสร้างองค์สุลต่านมีกระแสรับสั่งให้สร้างหอสวดมนต์เป็นทองคำ ซึ่งคำว่าทองคำในภาษาตุรกี เรียกว่า อัลทึ่น (Altin) สถาปนิกพยายามคิดหาทางออกที่ดี เพราะการสร้างหอทองคำต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากและเป็นการไม่สมควร แต่ก็ต้องให้สุลต่านอาห์เมตพอพระทัยด้วย 
จึงสร้างหอสวดมนต์ 6 หอ สร้างความพอพระทัยในความฉลาดของสถาปนิก
 จึงไม่ลงทัณฑ์แต่อย่างใด แต่ว่าเมื่อสร้างสุเหร่าสีฟ้าเสร็จแล้วกลับกลายเป็นว่ามีหอสวดมนต์
เท่ากับสุเหร่าในนครเมกกะ ซึ่งเป็นการไม่สมควร จึงต้องเพิ่มหอขึ้นอีกหนึ่งแห่งกลายเป็น 7 หอ
• สุลต่านอาห์เมตได้ชื่นชมบลูมอสก์อยู่เพียงปีเดียว ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษา
• สำหรับการเยี่ยมสุเหร่าสีน้ำเงินต้องถอดรองเท้า ช่วงที่อากาศเย็นควรที่จะเตรียมถุงเท้าไปด้วย
 อนุญาตให้คนเข้าไปทำละหมาดได้ 24 ชั่วโมง ช่วงกลางคืนจะมีการแสดงแสงสีเสียงด้วย








ตัวมัสยิดหันหน้าเข้าหาวิหารเซนต์โซเฟีย เป็นการประชันความงามกันอยู่คนละฟากฝั่งของ
จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต ที่ซึ่งในฤดูร้อนจะมีงานแสดงแสงสีที่งดงามยามค่ำคืน 
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าดีไซน์ของมัสยิดแห่งนี้ มองดูคล้ายวิหารเซนต์โซเฟีย
 แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจ 








ออกจากบลูมัสยิด เราก้อไปเยี่ยมชมความสวยงามของสุเหร่าเซนต์โซเฟียกันต่อดีกว่า



วิหารเซนต์โซเฟียมีชื่อเรียกในภาษาละตินว่า Sancta Sophia และ Haghia Sofia ในภาษากรีก สร้างในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน โดยฝีมือรังสรรค์ของอันเธนิอุสแห่งทรัสลิส และอีซีโดรุสแห่งมีเลตุส ใช้เวลาสร้างเกือบ 6 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์เมื่อ ค.ศ. 537 และทำซ้ำอีกครั้งเมื่อ ค.ศ. 563 
หลังการซ่อมแซมยอดโดมที่พังลงมาเพราะแผ่นดินไหว
• วิหารเซนต์โซเฟียเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง เป็นโบสถ์คาทอลิก มีหลังคาเป็นยอดกลมแบบโม เสาในโบสถ์เป็นหินอ่อน ภายในติดกระจกสี เมื่อเติร์กเข้าครองเมืองได้เปลี่ยนโบสถ์นี่ให้เป็นสุเหร่าในปี ค.ศ. 1453 โดยการฉาบปูนทับกำแพงที่ปูด้วยโมเสกเป็นรูปพระเยซูคริสต์และสาวก ภายหลังทางการได้ตกลงให้วิหารเซนต์โซเฟียหรือสุเหร่าฮาเกียเป็นพิพิธภัณฑ์ โดนทุกวันนี้คงบรรยากาศของความเก่าขลังอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะโดมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกซึ่งมีพื้นที่โล่งภายในใหญ่ที่สุดในโลก ก่อสร้างด้วยการใช้ผนังเป็นตัวรับน้ำหนักของอาคารลงสู่พื้นแทนการใช้เสาค้ำยันทั่วไป นับเป็นเทคนิคการก่อสร้าง ที่ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น (ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฮาเกียโซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง)





วิหารเซนต์โซเฟียดำรงสถานะเป็นโบสถ์คริสต์มมากว่า 900 ปี ก่อนจะมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง
ในวันที่ 29 พ.ค. ปี ค.ศ. 1453 เมื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกตีแตก โดยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือเมห์เมตผู้พิชิตแห่งอาณาจักรออตโตมัน หลังพระองค์ยึดเมืองหลวงแห่งไบแซนไทน์ได้ 
ก็ทรงบังคับพระอาชาสีขาวเสด็จไปยังเซนต์โซเฟียเพื่อทำการละหมาดพร้อมทั้งบัญชาให้ปรับเปลี่ยนสถานะของเซนต์โซเฟียจากโบสถ์คริสต์เป็นมัสยิสของชาวมุสลิม โดยให้ฉาบปูนปิดทับภาพโมเสก
อันสวยงามอลังการภายในให้หมด เพื่อเป็นไปตามความเชื่อของศาสนาอิสลามที่ห้ามมีรูปเคารพต่างๆ อีกทั้งยังโปรดให้ทำการสร้างหอสวดมนต์เพิ่มเติมอีกในเวลาต่อมา จึงเป็นการปิดฉากยิ่งใหญ่ของโบสถ์คริสต์ไปโดยปริยาย แต่กลับเป็นการเปิดฉากใหม่ของการสร้างมัสยิดในรูปทรงโดม
แบบโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นมาในอาณาจักรออตโตมัน
• ภายในวิหารเซนต์โซเฟียมีที่ตั้งบัลลังก์จักรพรรดิที่ถือเป็นศูนย์กลางจักรวาล ในห้องมีเสารักษาโรคอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งกล่าวกันว่าสามารถรักษาโรคไมเกรนของจักรพรรดิจัสติเนียนได้เมื่อแนบพระ เศียรลงกับเสา จึงเกิดความเชื่อว่าเสาแต่ละต้นในวิหารสามารถรักษาโรคได้ แต่เมื่อถูกลูบคลำเป็นเวลาหลายศตวรรษ เนื้อเสาก็สึกเว้าเข้าไปจนปัจจุบันต้องนำทองเหลืองมากรุเป็นกรอบ และเรียกรอยเว้านี้ว่า หลุมศักดิ์สิทธิ์ 






อิอิอิ แอบมานั่งจู๋จี๋ ดีกว่า 




ระหว่างเดินกลับโรงแรม มีของหวานน่ากินด้วยยย




เวลา 1 วันผ่านไป อย่างรวดเร็ว.................. อิสตันบูลทำเราใจหายทุกครั้งเมื่อคิดว่า 
อีกไม่นานก้อต้องจากกัน 




แต่คืนนี้คงไม่เหงา อิอิอิ เพราะมีเพื่อนดวด ไวน์




เราตื่นกันแต่ตเช้า เพื่อไปทานอาหารเช้าบนดาดฟ้าของโรงแรม แต่เหมือนเดิม เราไปสาย 
ไม่มีอะไรจะกินแล้ว อิอิอิ เลยได้แต่กินมาม่าคัพที่พกไปเอง 




ทานอาหารเช้าแล้ว เราจะไปต่อล่องเรือบอสฟอรัส กัน ชมทะเลดำ ที่ อิอิอิ 






พร้อมแล้วก้อ โก อิอิอิ เราจะไปขึ้นรถราง กันเพื่อไปยังฝั่งเอเชีย กัน ค่ารถรางเที่ยวละ 3 ลีร่า ต่อคน





ระหว่างไปขึ้นรถรางไปฝั่งเอเชีย ช่วงนี้ในอิสตันบูลทิวลิปกะลังบาน อิอิอิ มีรึ สาวสวยอย่างเราจะพลาด 







ขึ้นรถราง มาลงที่ สถานีทักซิม ผ่านสะพานมา มีคนตกปลาเยอะแยะ เลย เราลงสถานีทักซิมที่ฝั่งเอเชีย เดินดูตลาดปลา แล้่วไปซื้อตั๋วล่องเรือ ชมความงามของอ่าวมามาร่า 
ช่องแคบบอสฟอรัส ก่อนที่จะออกสู่ทะเลดำ 





แล้วก้อไปชิมหอยแมงภู่ตุรกี ในราคา ตัวใหญ่ ตัวละ 1 ลีร่า ตัวเล็ก 2 ตัว 1 ลีร่า ข้างในเขาจะยัดไส้ข้าวแน่นๆ อิอิอิ ก่อนจะกิน ก้อบีบน้ำมะนาวลงไป 1 ปู้ดดด แล้วก้อกิน เราว่า งั้นๆ แหละ อิอิอิ





ตีตั๋วล่องเรือ คนละ 12 ลีร่า ก้อนั่งรอเรือมารับ เพราะจริงๆ ขึ้นจากฝั่งยุโรปจะง่ายกว่า
 เพราะฝั่งเอเชีย ถ้าขึ้นที่นี่ จะมีเรือมารับไปส่งอีกทอดเพื่อไปขึ้นที่ฝั่งยุโรป อิอิอิ




ได้ขึ้นเรือ แล้ว เรือก้อเริ่มล่องไป จะมี 2 ชั้น ช้นล่างจะมีห้องข้างใน อุ่นๆ ไว้นั่งชิวหรือสั่งไรมาทานเล่น เพราะข้างนอกยามนี้ หนาวโครตๆ





ชมทิวทัศน์กันไปเรื่อยๆ ฝั่งเอเชียจะมีพื้นที่ใหญ่กว่าฝั่งยุโรป 










ความฝันที่ครั้งหนึ่งเราอยากจะมายืน ณ จุดนี้ มีความสุขแค่ไหน 
คงไม่มีใครตอบได้ดีไปกว่าตัวเรา









ที่สำคัญได้อยู่ตรงนี้ กับคนที่รัก อิอิอิอิ





ใช้เวลาล่องไป 2-3 ชม เรือก้อกลับมายังฝั่งท่าเรือฝั่งยุโรป เราเดินข้ามถนนไปเที่ยวตลาดดีกว่า
 หาดูของฝากติดไม้ติดมือกลับเมืองไทย





เดินกันไป ขำๆ คนเยอะมากก ของกินของใช้ละลานตาไปหมด












แต่เราก้อพลัดหลงกับเพื่อน ๆ เลยต้องเดินหน้าต่อไป จะหลงไปถึงไหนก้อให้มันรู้กัน 
ข้างนอกฝนตกเรื่อยๆ อากาศเย็น เราเดินไปเรื่อย ๆ คิดไว้ในใจ หลงก้อไม่เปงไร
 เด๋วค่อยคลำทางกลับไปที่สถานีรถราง แล้วค่อยนั่งกลับไป ที่สถานีสุลต่านอาเหม็ด
 เพื่อไปเริ่มต้นเดินกลับโรงแรมที่นั่น อิอิอิอิ พอเดินคนเดียว ก้อโดนหนุ่มๆ แก่ ๆ
 ตุรกีแซวกันน่าดู มีลุงคนนึงเดินตาม ตามไปจนสถานีรถราง 
อิอิอิ แต่เราก้อไม่แคร์เพราะเราไม่กลัว อิอิอิ




เดินไปโรงแรมก้อหลงอีก ๆ แต่เจอสาวๆ นักเรียนตุรกี ถามทางเธอ
 ปรากฎว่าเธอช่วยเราเดินตามหาโรงแรม โชคดีจัง เจอคนดีๆ น่ารักๆ
 เราเลยให้ขนมน้องๆ เป็นการตอบแทน ที่อุตส่าห์เดินมาส่งเรา 
พรุ่งนี้ เราต้องกลับไทยแล้ว เวลาช่างน้อยเหลือเกิน 
อยากอยู่นานๆ หลงรักอิสตันบูลแล้วสิ 





เครืองออกตอน 5 โมงเช้า เราตื่นกันตั้งแต่ตีห้า เก็บข้าวของ 
ใช้บริการรถไปส่งจากโรงแรมไปสนามบินอตาเติกร์ คนละ 6 ยูโร 
รถมารับตอน 7 โมงเช้า ทำให้เรามีเวลาไปนอนสัปหงกที่สนามบินอีกพักนึงแน่ะ 
อิอิอิ ขากลับ ก้อต้องไปต่อเครื่องที่มอสโคว์เหมือนเดิม
แต่คราวนี้ไม่ต้องรอนานแล้วเพราะใช้เวลาเปลี่ยนเครื่อง ประมาณ 2 ชม 





ถึงมอสโคว์ใน 3 ชม ข้างหน้า จากสนามบินอตาเติกร์ 







ออกจากมอสโคว์ ก้อกินอาหารกันอีกที อิอิอิ รักนี้ที่รอคอย อิ่มอร่อย หลับต่อ





เข้าเขตประเทศไทย เป็นไงล่ะ สว่างกันเห็นๆ อิอิอิ คิดถึงบ้านจัง





พอเครื่องแตะรันเวย์ อิอิอิ ทุกคนปรบมือให้กัปตัน ที่นำพามาถึงประเทสไทยโดยสวัสดิภาพ
ขอบคุณแอโรฟลอตค่ะ จากสุวรรณภูมิ เราก้อต้องนั่งรถกลับพิดโลก เหมือนเดิม อิอิอิ 
โดยใช้บริการรถรับ ส่งฟรี สุวรรณภูมิ - ดอนเมือง โดยรถุจะจอดที่ดอนเมืองเท่านั้น 
เราก้อต่อแท้กซี่ไปหมอชิต ตีตั๋วกลับบ้านสบายใจเฉิบ 





ทริปนี้คงบรรยายไม่หมดด้วยภาพและคำพูด เพราะมันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะเล่า
 3 วัน 3 คืน ก้อคงไม่จบ ได้แต่ขอบคุณโชคชะตา 
ขอบคุณความไม่บังเอิญ 
ขอบคุณอัลเลาะห์ ที่สร้างโลกอันสวยงามให้เราได้ไปสัมผัส 
Alhamdulelah ................... 
ฉันรักเธอจัง .... รัสเซีย - ตุรกี 














ดอกไม้ืะเลทราย 
ผู้เขียน
แบ่งปันประสบการ์การค้นหาตัวตนได้ที่
https://www.facebook.com/DxkmiThaleThrayDesertFlower